เทศน์บนศาลา

ไข่ของแม่

๑o พ.ค. ๒๕๕๔

 

ไข่ของแม่
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เนื่องในงานฌาปนกิจคุณแม่ซิวคิ้ม แซ่เลี้ยง วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ณ วัดโพธาราม ต.โพธาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เทศน์ตามอัธยาศัยเพราะนี้เป็นงานแม่ของเรา แม่เราเห็นไหม แม่เราเกิดแล้วแม่เราก็ตายแล้ว เพราะแม่ของเราเกิดมาเห็นไหม การเกิดของมนุษย์ไม่เหมือนการเกิดของพืช การเกิดของพืชมันไม่ต้องมีพ่อมีแม่มันก็เกิดได้ การเกิดของมนุษย์ต้องมีพ่อมีแม่ ถ้ามีพ่อมีแม่ เราเกิดจากพ่อจากแม่ แม่ของเรานะ คลอดลูกมา ๑๓ คน เวลาคลอดลูกมาเลี้ยงลูกมาด้วยความขยันหมั่นเพียร เลี้ยงลูกมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพราะการเลี้ยงลูก พ่อแม่ต้องการให้ลูกเป็นคนดี ถ้าเลี้ยงลูกเป็นคนดีพ่อแม่มีความปลื้มใจ เลี้ยงลูกมา ๑๓ คนลูกเป็นคนดีของสังคมทั้งหมด ไม่เป็นภาระของใคร

นี้ความซื่อสัตย์เห็นไหม ตอนแม่เลี้ยงลูกมาต้องปากกัดตีนถีบ เลี้ยงลูกมาด้วยความอัตคัตขัดสนขนาดไหน พ่อแม่ก็มีความขวนขวายขยันหมั่นเพียร แม่เป็นแม่ที่ดีเป็นผู้อบรมสั่งสอน พ่อเป็นผู้ที่ควบคุมดูแลอยู่ นี้พ่อเห็นไหม ถ้าแบบครอบครัว ปัญหาในครอบครัวเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อปัญหาครอบครัวลิ้นกับฟันมันกระทบกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อเป็นการครองเรือน การครองเรือนคือการครองใจ ถ้าการครองใจของคนเห็นไหม ในเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ในเมื่อเรามีสังคม ในเมื่อเรามีครอบครัว มันก็มีการกระทบกระเทือนกันเป็นธรรมดา การธรรมดานี้ธรรมดาเพราะอะไร?

เพราะมันเป็นเรื่องของสังคมโลกใช่ไหม แต่พ่อแม่เรา เราก็เลี้ยงลูกของเรามาก็เป็นสิ่งที่ดีเห็นไหม แม่เป็นคนที่ซื่อสัตย์ เป็นคนซื่อมาก เพราะเราบวชพระมาแล้ว มีคนไปทำบุญกับเราเยอะมาก

“ลูกใคร?”

บอก“ลูกแม่”

“โอ้! แม่นี้เป็นคนซื่อสัตย์มาก เป็นคนขยันหมั่นเพียร”

เราจำได้..กับขณะที่แม่ทำงานเสร็จแล้วแม่ต้องไปซักผ้าที่แม่น้ำ เราเป็นเด็กๆ นะ เราจะตามไปช่วย เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่จะเดินข้ามจากฝั่งจากตลิ่งไปถึงแม่น้ำ มันเป็นหาดทรายกว้างไปหมดเลย แล้วมันร้อนมาก แล้วเราต้องวิ่งข้ามไปนะ ข้ามไป เพื่อไปรับจากการซักผ้าของแม่ เพื่อกลับมาตากที่บ้าน เพราะปากกัดตีนถีบ พ่อแม่ก็เลี้ยงลูกมาด้วยคุณงามความดี ขอให้ลูกเป็นคนดี ถ้าลูกเป็นคนดีแล้วพ่อแม่ก็มีความชื่นใจเห็นไหม นี้คือความเป็นโลก

การเกิดของพืชมันเกิดได้มันโดยธรรมชาติของมัน การเกิดของคนเห็นไหม การเกิดของคนต้องมีพ่อมีแม่ มีพ่อมีแม่เพราะอะไร?

มีพ่อมีแม่เพราะจิตเห็นไหม เวลาจิตมันเกิด จิตเกิดนะ จิตหนึ่ง จิตหนึ่งจิตหมุนไปในวัฏฏะ สิ่งที่หมุนไปในวัฏฏะเห็นไหม เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาเกิดเป็นอะไร เขามีพ่อมีแม่ไหม เขาเกิดโดยโอปปาติกะ เขาเกิดด้วยผลบุญผลกรรมของเขา เขามีบุญของเขา เขาอุบัติขึ้นมาเป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมนั้นเขาเป็นอะไร เขาไม่เป็นพ่อแม่ เขามีกรรมมีบุญกุศลมีบาปอกุศลเป็นพ่อแม่ของเขา

แต่ของเราล่ะ เราเกิดมาเห็นไหม เพราะอะไร?

เพราะเรามีกรรมมาร่วมกัน ถ้าเราไม่มีกรรมร่วมกันทำไมพ่อแม่เราต้องมาเกิดกับเรา แล้วเราต้องมาเกิดกับพ่อแม่ เราเกิดกับพ่อแม่เพราะเรามีกรรมร่วมกันมา ถ้าเรามีกรรมร่วมกันมานี้คือกรรมเห็นไหม ในเมื่อกรรม.. มันก็มีกรรมดีและกรรมชั่ว ถ้ากรรมดีมันก็ส่งเสริมกัน ถ้ามีกรรมชั่วล่ะ กรรมชั่วมันก็มาขัดแย้งกัน กรรมดี-กรรมชั่วมันก็มีเป็นเรื่องธรรมดาเห็นไหม

นี่พูดถึงผลของวัฏฏะนะ แล้วจิตมันเวียนหมุนไปตามธรรมชาติของมัน เรามาเกิดเป็นพ่อเป็นแม่ต่อกันเป็นลูกต่อกันเพราะเรามีบุญมีกรรมต่อกัน ในเมื่อมีบุญมีกรรมต่อกันนะ “อภิชาตบุตร” บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่เห็นไหม บุตรนี่ บุตรที่จะมาจองล้างจองผลาญของเราไม่มี พอมันไม่มีเห็นไหม เพราะแม่เรามีบุญ ในครอบครัวไหนเขาก็มีการกระทบกระเทือนกันทุกครอบครัวแหละ ไม่มีครอบครัวไหนที่ไม่มีลิ้นกับฟันกระทบกันหรอก ทีนี้ถ้าเราทำใจของเราได้ล่ะ เราทำใจเรา เราเข้าใจ เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม ถ้าชาวพุทธให้เชื่อกรรม เชื่อกรรมเพราะกรรมคือการกระทำ ไม่ใช่แก้กรรม แก้กรรม..เราต้องแก้ของเราด้วยตัวของเราเอง เพราะเราเชื่อกรรมขึ้นมาแล้วเห็นไหม จิตเราที่มันเร่ร่อนเพราะอะไรล่ะ?

เพราะมันไม่ยอมรับ สิ่งใดมีเกิดขึ้นกับเรา เราก็ตีโพยตีพาย “สิ่งนี้ทำไมเกิดกับเรา ทำไมไม่เกิดกับคนอื่น”

เกิดทั้งนั้น เขาพูดหรือไม่พูดเท่านั้นล่ะ เกิดกับทุกๆ คน เพราะว่ายิ่งจิตใจหยาบช้า จิตใจสิ่งต่างๆ มันเข้าไม่ถึงหรอก ธรรมะเข้าไม่ถึงใจดวงนั้น ใจดวงนั้นยิ่งหยาบช้ามาก แต่ใจที่มีคุณธรรม สิ่งใดที่มันเกิดขึ้นเห็นไหม ถ้าใจคนเป็นธรรมนะ มองสภาวะสิ่งใดมันก็เป็นธรรม มองแล้วมันสะเทือนใจทั้งนั้น ถ้าจิตใจคนมันหยาบ ธรรมะขนาดไหน มันก็ไม่สะเทือน มันก็ไม่รับรู้หรอก แต่ถ้าคนมีธรรมนะ การกระทบกระทั่งมันก็สะเทือนใจเรา สิ่งต่างๆ มันก็สะเทือนใจเราเห็นไหม

ความซื่อสัตย์ของโลกนะ แม่เป็นคนดีมาก เลี้ยงลูกมาด้วยคุณงามความดี เพราะมีความซื่อสัตย์เห็นไหม มีความซื่อ มีความจงรักภักดี มีความดีทั้งนั้น เพราะความดีอันนี้มันเป็นคุณสมบัติทางโลกดีไหม?

ดี! แต่ความดีอย่างนี้ เวลาเราทำขึ้นมาแล้ว พ่อแม่เรา เราก็ดูแลกันมา..จนทุกคนเติบโตขึ้นมาเห็นไหม เพราะแม่ก็มีเวลาว่างบ้าง แม่ก็อยากปฏิบัติเห็นไหม

หลวงตาสอนว่า “คนเราเกิดมามี ๒ ตา ตาหนึ่งคือตาโลก เราอยู่กับโลก เราต้องทันโลก เราทำเพื่อสังคมโลกเห็นไหม ตาหนึ่งคือตาธรรม เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ ทุกคนอยากจะพ้นจากทุกข์เห็นไหม” ดูพูดถึงชีวิตของเราสิ มันอึดอัดขัดข้องไหม มันอึดอัดขัดข้องไปทั้งนั้น จะมีบุญมีกุศลขนาดไหน จะมั่งมีศรีสุขทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหนก็แล้วแต่ มันก็มีทุกข์ในหัวใจทั้งนั้น แล้วทุกคนก็เบื่อหน่าย ทุกคนเบื่อหน่ายอยากพ้นจากทุกข์

ถ้าทุกคนเบื่อหน่ายอยากพ้นจากทุกข์ ทำอย่างไรจะพ้นจากทุกข์ล่ะ?

พอแม่เราเห็นไหม โตขึ้นมา..ลูกต่างๆ พอจะช่วยตัวเองได้ พออยู่กันได้ แม่ก็อยากปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมเห็นไหม ความซื่อ! ความซื่อทางโลกนี่ดีมากนะ เพราะความซื่อเห็นไหม ทุกคนต้องการความซื่อสัตย์ แต่เวลาคนเห็นไหม เขาชวนกันไปปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรม

เนี่ยความซื่อมันเป็นเหยื่อนะ! มันเป็นเหยื่อให้เขาจูงไป! เขาพากันไปไหน ปฏิบัติธรรมปฏิบัติกันที่ไหน เพราะความเป็นเหยื่ออันนั้น ดูสิ เวลาทางการแพทย์เห็นไหม พฤติกรรมนี้มันจะบอกถึงการดำรงชีวิต ชีวิตของการมี มีพฤติกรรมอย่างไร บำรุงอย่างไร เขาจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บตามพฤติกรรมที่เขาดำรงชีวิตของเขา

การประพฤติปฏิบัติธรรมเห็นไหม เวลาไปปฏิบัติธรรมมันเป็นธรรมหรือเปล่าล่ะ ถ้ามันไม่เป็นธรรมเพราะอะไร?

ทำไมซื่อล่ะ ทำไมเห็นไหม..กาลามสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเราไปปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติแล้วเราได้สิ่งใดขึ้นมา ถ้าเรา..ทำไมไม่ใช้ปัญญาล่ะ ความซื่อเห็นไหม ซื่อสัตย์ สัจจะนี่สำคัญมากนะ สัจจะ ถ้ามีสัจจะ คนนั้นจะเป็นคนดี ถ้าคนขาดสัจจะเห็นไหม มีแต่ความซื่อแต่ไม่มีปัญญาเห็นไหม ด้วยอาศัยความซื่อ อาศัยจริตนิสัยของตัว ไปอยู่ที่ไหนก็ขยันหมั่นเพียร แม่เป็นคนขยันมาก แม่นี้เป็นคนขยัน เป็นคนมุมานะทำสิ่งใดทำจริง แล้วด้วยความเชื่อเห็นไหม ความเชื่อ! ความเชื่อคือความศรัทธา ศรัทธาความเชื่อเห็นไหม ความเชื่อ แล้วความเชื่อมันเป็นความจริงไหม?

พอไปปฏิบัติที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้ามันไม่เป็นความจริง เพราะซื่อไง เพราะซื่อถึงไม่ได้คิดต่างไง ไปอยู่กับใครก็แล้วแต่นะ ต้องไปมุมานะทำนะ ทำจนเจ็บไข้ได้ป่วย จนเขาเอาเข้าโรงพยาบาลกันนะ คนโน้นก็ลากไป คนนี้ก็ลากไป ลากไปปฏิบัติที่โน่น ลากไปปฏิบัติที่นี่

เรานั่งมองดูอยู่ มันเศร้าใจ! เศร้าใจมาก! แม่ของเรา ทำไมให้คนเขาลากไป ลากไป ลากไป! มันลากไปทำอะไรกัน นี่ไง..เขาลากของเขาไป เขาทำของเขาไป แต่เพราะความซื่อเห็นไหม ความซื่อเป็นคุณงามความดี เพราะพฤติกรรมอันนั้น การกระทำอันนั้นเห็นไหม จนเจ็บไข้ได้ป่วยส่งเข้าโรงพยาบาล เราฟังอยู่ มันสะเทือนใจมาก แต่! มันเป็นเรื่องของกรรมเห็นไหม กรรมคือความเชื่อของแต่ละดวงใจ แต่ละดวงใจมันไม่เหมือนกัน ยิ่งพูดเข้าไปขนาดไหน เขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าเราพูดเพราะอะไร?

เพราะความใกล้ชิดระหว่างแม่กับลูก แม่กับลูกเชื่อกันได้ยาก เวลาใครบวชมากับเราเห็นไหม จะไปแก้แม่ แก้แม่ โธ่..พระสารีบุตรยังเอาแม่ไม่ได้เลย จนสุดท้ายแล้วกว่าพระสารีบุตรจะได้แม่เห็นไหม ลูกของแม่พระสารีบุตร มีลูกชายเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย แล้วพระสารีบุตรก็บอกนะ

“ใครจะแก้แม่เพราะแม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ”

เห็นไหม เวลาพระสารีบุตรไปบิณฑบาต ไปพิจารณาของตัวเอง ใครจะแก้แม่ได้? ก็คิดว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แก้ไม่ได้ เราต้องไปแก้เอง พอเวลาไปแก้เองเห็นไหม คืนนี้พระสารีบุตรจะสิ้นชีวิต จะสิ้นชีวิตแล้วก็ไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

“เธอจะลาไปไหน?”

“จะลาไปนิพพานในห้องที่เกิด”

เนี่ยจะเดินไปโปรดแม่เห็นไหม พอเดินเข้าไปในบ้านนะ แม่พระสารีบุตรเห็นพระสารีบุตรบวชมาเห็นไหม

“โอ้ ลูกเราบวชมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่นะ สงสัยแก่แล้ว เบื่อแล้วจะมาสึก”

นี่ความคิดนะ คิดว่าลูกจะมาสึกนะ พอลูกจะมาสึกเห็นไหม ว่าลูกจะมาสึก เพราะแม่มีทิฏฐิ ลูกก็แก้แม่ไม่ได้ พอแก้ไม่ได้ก็เข้าไปห้องคลอดนั่นแหละ ไปอยู่ตรงนั้น เพราะพระสารีบุตรเป็นโรคท้องร่วง พอคืนนั้น เริ่มถ่ายท้องเต็มที่ พอถ่ายท้องเต็มที่เห็นไหม มันมีแสงเป็นแสงพุ่งเข้ามาในห้อง พอแสงพุ่งเข้ามาในห้องขึ้นมา แม่เห็นไง วิ่งเปิดเข้าไปดู

“ลูก ใครมาหรือ?”

“เทวดาเขามาดูแล”

แม่ก็ยังเฉย ออกไปอีกเพราะพวกฮินดู พวกพราหมณ์ เขาถือพรหมมาก พอถึงเวลาแล้ว พรหมก็ลงมา พรหมลงมาในห้องของพระสารีบุตร แม่รีบเปิดเข้ามาเลย

“ใคร? ใครมา?”

บอก “พรหมมา”

พอพรหมมา โอ้ว..แม่ร้องไห้เลยนะ เพราะขนาดพรหมนี่นะยังมาเคารพลูกเราเลย ขนาดพรหมที่เรากราบไหว้แล้วอ้อนวอนขอทุกๆ วัน แม่อ้อนวอนขอทุกวัน ยังต้องลงมาหาลูก มาขอพรจากลูกเห็นไหม พอแม่เริ่มเห็นคุณค่า พอเห็นคุณค่า พระสารีบุตรเทศน์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีดวงตาเห็นธรรมนะ พอมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน พอเป็นพระโสดาบันร้องไห้แล้วร้องไห้อีก

“ลูกไม่รักแม่ ลูกไม่รักแม่ ถ้าลูกรักแม่ลูกต้องสอนแม่มาตั้งนานแล้ว”

เมื่อกี้ยังบอกจะสึกอยู่เลย! ทิฏฐิของคนมันเป็นแบบนี้!

เรามองดูอยู่นะ คนโน้นลากไป คนนี้ลากมา คนโน้นลากไป เศร้าใจ! แต่พูดอะไรก็ไม่ได้ พูดอะไรก็ไม่ออก มันจุกหัวอก นี่คือผลของโลกเห็นไหม แต่แม่เป็นคนซื่อ แม่เป็นคนดี เห็นใจมาก เพราะความซื่อนั้นนะ

แต่ถ้าเป็นเรื่องของการปฏิบัติแล้ว ไม่เป็นอย่างนั้นเลย ถ้าซื่ออย่างนี้เขาเรียกว่าทำด้วยรูปแบบ การทำให้ครบองค์ประกอบสมบูรณ์ขึ้นมาแล้วคือการปฏิบัติ ในปัจจุบันนี้การปฏิบัติปฏิบัติพอเป็นพิธี หลวงตาว่า “ปฏิบัติพอเป็นพิธี” ที่ไหนจะปฏิบัติก็ได้ มีที่ที่ไหนจัดที่ปฏิบัติก็ได้

“แล้วปฏิบัติทำไมจะสอนไม่ได้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครก็สอนได้ เวลาเทศน์ขึ้นมาโอ้โฮ..ธรรมะนี่ดี้ดี”

ทำไมจะไม่ดี ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วธรรมะในใจเรามีไหม?

ถ้าธรรมในใจนะ พระองค์นั้นจะไม่กระล่อน พระองค์นั้นจะไม่ตลบตะแลง พระองค์นั้นพูดอย่างใดทำอย่างนั้น ถ้าพระองค์นั้นพูดอย่างใดทำอย่างหนึ่ง ยังตลบตะแลงอยู่ มันธรรมะของใคร? มันธรรมะของใคร?

นี่ไง ถ้าใจของเรามาประพฤติปฏิบัติ กาลามาสูตรไม่ให้เชื่อ อย่าเชื่อ อย่าเชื่อ ถ้าคนไหนเชื่อคนนั้นโง่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่ออะไร ให้เชื่อในการปฏิบัติตามความเป็นจริง ฉะนั้นเวลาอยากปฏิบัติเห็นไหม โดนเขาลากไปนะ ลากไปเจ็บไข้ได้ป่วยจนมาอยู่กับเรา ตอนมาอยู่กับเรา ๒ ปี ๒ พรรษา มาอยู่กับเรานะ เวลาให้ปฏิบัติขึ้นมาล่ะ

“อ้าว ปฏิบัติสิ อยู่กับเราแล้ว”

ที่วัดสันติธรรมารามนั่นน่ะ พอมาปฏิบัติกับเรา มันไม่มีใคร มันสงบสงัด

“อ้าว..เอาให้อยู่สิ เอาใจให้ได้ จะพุทโธ พุทโธ เอาให้ได้สิ”

มันก็ไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไร?

ไม่ได้เพราะเราทำแต่งานภายนอก เราใช้ความคิด ความคิดเป็นผีนะ ตัวจิตเป็นผู้ทุกข์ เป็นเจ้าของสิทธิเห็นไหม เขาจะเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิ์น่ะ ผู้มีสิทธิ์ไม่ใช้สิทธิ์ ผีมันจะไปใช้สิทธิ์แทน เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าจิตไม่สงบเข้ามา มันใช้แต่ความคิด ความคิด นั่นมันผีนะ ผีทั้งนั้น ผีคืออารมณ์ความรู้สึก ผีคือความนึกคิด แต่ถ้าเรา พุทโธ พุทโธ มันก็เป็นผี ผีเพราะมันเกิดจากจิต ถ้ามันนึกพุทโธจนมันสงบเข้ามา มันสงบอย่างไร?

ถ้ามันไม่สงบเข้ามา เจ้าของสิทธิ์ไม่ได้ใช้สิทธิ์ สิทธิ์นั้นผิดกฎหมายหมด ทุจริตทั้งนั้น แล้วในการประพฤติปฏิบัติของเราทำไมไม่มีสติ ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อต้องพิสูจน์สิ เราได้พิสูจน์กันบ้างหรือยัง เราได้พิสูจน์การกระทำของเราหรือเปล่า?

“แล้วเราไปทำ ก็ได้ปฏิบัติแล้ว”

นี่ไง ไปอยู่กับเรา ๒ ปี ไปอยู่ ๒ ปี “ทำอย่างไรต่อล่ะ แล้วทำอย่างไรต่อ”

จะทำอย่างไรต่อก็แล้วแต่เพราะอะไร? เพราะเราไปสมบุกสมบันมาเห็นไหม พอถึงที่สุดนะ..เวลาออกจากเรามาแล้วมาล้มในห้องน้ำ พอล้มในห้องน้ำเห็นไหม ท่านถึงเป็นอัมพฤกษ์ไปซีกหนึ่ง เราเตรียมพร้อมไว้เพื่อจะเอาแม่นะ แต่เมื่อ..ในเมื่อมันเป็นเวรเป็นกรรม เป็นผลของวัฏฏะ วัฏฏะมันมีกรรมมาตัดรอน เวลากรรมเห็นไหม เราไม่ได้เกิดมาคนเดียว เราเกิดมาในครอบครัว แม่เลี้ยงลูกมา ๑๓ คน แม่มีญาติ มีพี่ มีน้อง ในสังคมมีสังคม เขาก็ดึงกันไป กรรมของใครก็ถูกันไปก็ไถกันไป

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาเห็นไหม กรรมของใครก็กรรมของเขา กรรมของเรามันก็มีใช่ไหม ถ้ากรรมของเรามี เวลากรรมของเรามี เรายืนของเราได้เห็นไหม เขาก็เสียดสี การเสียดสีโลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ ธรรมะเก่าแก่มีดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“เวลาใครมันโดนธรรมะ โดนโลกธรรมมันเสียดสีนะ อย่าให้คิดถึงใคร ให้คิดถึงเรา เราองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนเสียดสีมามากกว่าทุกๆ คน”

เพราะเวลาการเผยแผ่ธรรมขึ้นมา ลัทธิศาสนาต่างๆ เขามีอยู่เต็มโลกอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงออกไป มันต้องมีคนคัดค้านแน่นอนอยู่แล้ว แรงเสียดสีมหาศาลจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีฤทธิ์มีเดชทุกอย่าง ถ้าไม่มีฤทธิ์มีเดชทำไมตั้งพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นเอตทัคคะได้ นี่ไงการตั้งเป็นเอตทัคคะเพราะอะไร?

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องมีวุฒิภาวะที่สูงกว่าถึงตั้งเขาขึ้นมาได้ ฉะนั้นสิ่งที่ด้วยฤทธิ์ด้วยเดชทำได้ทั้งนั้น ทำสิ่งใดๆ ก็ได้แต่ท่านไม่ทำ ท่านไม่ทำเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปล่อยให้พวกขี้ครอกมาด่าแล้วด่าเล่า พวกเราทนได้ไหม ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทนได้ล่ะ ท่านทนได้เพราะอะไร?

เพราะท่านไม่มองความขี้ครอกของเขา ท่านมองความรู้สึกของคน ท่านมองหัวใจของคน ถ้าหัวใจของเขามีทิฏฐิมานะ หัวใจของเขาไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ มันเทียบออกไป มันก็ไม่มีความหมายหรอก มันต้องรอกาลเวลาใช่ไหม ถ้ากาลเวลาของเขาเห็นไหม ถ้าเขาเปิดหัวใจของเขา มันก็เป็นประโยชน์กับเขา ถ้าเขาไม่เปิดหัวใจของเขา มันก็ไม่ได้ประโยชน์ของเขา มันก็เป็นกรรมของสัตว์

นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเห็นไหม จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ จะรื้อสัตว์ไปรื้อที่ไหน รื้อที่ไหน จะไปอุ้มที่ไหน นี่ไงเวลาเช้าขึ้นมาจะเล็งญาณ เล็งญาณว่า “จิตของใครสมควรจะรับรู้ได้ สมควร คือ รู้เปิดใจของเขา แล้วใจเราเปิดไหม ใจเรามีแต่ทิฏฐิมานะ ใจเราจะมีความอวดรู้ อวดรู้แล้วรู้จริงหรือเปล่า?

อวดรู้ให้มันเป็นเหยื่อไง อวดรู้แล้วซื่อๆ ด้วย ยิ่งเป็นเหยื่อสองชั้นสามชั้นไง นิ่มๆ เลย เชือดแล้วเชือดอีก

แต่ถ้าเราจะเอาตัวรอด ความเชื่อความศรัทธาเราต้องมีปัญญาของเรา ถ้าเรามีปัญญาของเรา เราใช้ปัญญานี้กลั่นกรองจริงหรือไม่จริง กาลามสูตรเห็นไหม ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อนะ เราอยู่กับครูบาอาจารย์ท่านบอกพระฝรั่งนี่แปลก จิตสงบขนาดไหนเขาก็ไม่เชื่อของเขา เขาปล่อยให้เสื่อมนะ แล้วเขาก็ทำใหม่..ปล่อยให้เสื่อมแล้วทำใหม่ เพราะเขาไม่เชื่อไง พวกฝรั่งเขาไม่ค่อยเชื่อนะ แล้วเขาต้องพิสูจน์ๆ การพิสูจน์นั้นเห็นไหม พิสูจน์แล้วพิสูจน์เล่า

ฉะนั้นพระฝรั่ง..เราไปตื่นเห็นไหม เวลาพระไทยมา..ฮูย! ไม่สนใจเลย พระฝรั่งมา โอ้โฮ! น่าสนใจมาก เราไปตื่นกันเองไง แต่ดูเรื่องของจิตสิ ในเมื่อคนนี่นะมันมีความสงสัย มันมีขยะในหัวใจมาก การทำให้สะอาดมันยากกว่าพวกเรา พวกเราถ้าใจมันสะอาดอย่างไร เราต้องแก้ไขของเราเห็นไหม

ฉะนั้นเวลาปฏิบัตินะซื่อๆ อย่างนี้ไม่ได้หรอก แล้วซื่อๆ ด้วย แล้วในวงปฏิบัติมันก็เล่ห์เหลี่ยมทั้งนั้น มันจริงหรือไม่จริง? จริงกับจริงมันต้องเข้ากันสิ อริยสัจมีหนึ่งเดียว อริยสัจมีสองมีสามที่ไหน มันมีทางลัด ทางตรง ทางอ้อม ทางโค้งมาจากไหนอีกล่ะ!

แต่ถ้าเป็นความจริงจะลัดจะตรงอย่างไรก็แล้วแต่ มันก็พิสูจน์ได้

ถ้าเรามีถนนสายหนึ่ง..เราไปถึงจุดหมายปลายทางอันหนึ่ง แล้วเขาบอก “จะรถสายไหนก็แล้วแต่ไปถึงจุดหมายปลายทางนั้นได้ มันก็น่าสนใจเพราะเขามาถึงได้”

แล้วนี่มาถึงจริงหรือเปล่า! ในการประพฤติปฏิบัตินะเปรียบเหมือนการที่เราฝึกเด็กเห็นไหม เราฝึกเด็ก..ลูกๆ เรา เราก็อยากให้ทำงานเป็นทั้งนั้น หัดให้มันทอดไข่ เวลามันจะทอดไข่ มันทอดที่ไหนล่ะ เวลาทอดไข่มันเอาอะไรไปทอด แต่พวกเราเห็นไหม เราจะทอดไข่ เรามีกระทะ เรามีไข่ เรามีต่างๆ เราทอดไข่ได้ทั้งนั้น แล้วเวลาเอามาฝึกเห็นไหม เวลาเขาจะทอดไข่ เวลาเขาตอกไข่ ถ้าไข่มันตกใส่ดินล่ะ ถ้าตอกไข่ไปในกระทะแล้วเขาทอดไม่เป็นแล้วมันไหม้ล่ะ การทอดไข่ต่างๆ เห็นไหม มันมีของมัน

ทำความสงบของใจนะ ถ้าใจมันสงบเข้ามา ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ มันจะมีพลังของมัน มันจะมีพลังตามความเป็นจริงเลย ตามข้อเท็จจริงเลย ถ้าจิตเกิดสงบขึ้นมา จิตมีกำลัง ถ้าจิตมีกำลัง..ทำไมจิตมีกำลังแล้วทำไมไม่มีสติ ทำไมถึงไม่รับรู้สิ่งว่าผิดหรือไม่ผิดเลย

ถ้าจิตมีกำลังของมันจะรู้เลยว่า “เพราะเราปฏิบัติมา กว่าจิตสงบได้ มันต้องมีปัญหาของมันตลอด” พอจิตมันสงบขึ้นมา เพราะการสงบอย่างนี้เราตอกไข่ตกใส่ดิน เราตอกไข่ไม่ลงกระทะสักทีหนึ่ง ถ้าวันไหนเราตอกไข่ลงกระทะเห็นไหม เราจะเห็นความแตกต่าง โอ๊ะ! พอไข่ลงกระทะขึ้นไป ปกติมันมีน้ำมันเห็นไหม โอ้โฮย! มันมีปฏิกิริยาของมัน เราจะได้กินไข่ จิตถ้ามันสงบของมันขึ้นมาเห็นไหม มันจะมีปฏิกิริยาของมัน มันมีกำลังว่า ทำไมเราผู้ที่ปฏิบัติ..ครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม ถ้าใครจิตสงบหรือใครภาวนาเป็น พอผลัวะนั่นน่ะ ครูบาอาจารย์จะดีใจมาก ดีใจมาก ดีใจมาก

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศน์ธรรมจักรเห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะ

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา”

ไอ้คำพูดนี่มันเกิดมาจากใจ พอเกิดขึ้นมาจากใจพอพูดขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีใจมาก “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” คำว่า “รู้แล้วหนอ” กว่าจะรู้ได้มันยากขนาดไหน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมา พอรู้ขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีใจมากเพราะอะไร? เพราะมันมีพยาน

“แล้วเวลาเราพูดนะ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เกิดดับ เกิดดับ”

เกิดดับก็ปิดไฟสิ เปิดมันก็ติด ปิดมันก็ดับ ก็เปิดไฟ เกิดดับ เกิดดับ ก็เปิดปิด เปิดปิด มันเป็นไฟเว้ย มันไม่มีชีวิต มันไม่มีเล่ห์เหลี่ยม มันไม่มีมารยาสาไถย แต่ใจคนมันมีเล่ห์เหลี่ยม มีมารยาสาไถย การเกิดดับ เกิดดับที่ผีก็ได้ เกิดดับที่เจ้าของจิตก็ได้ การเกิดดับมันมีตั้งกี่ชั้นกี่ตอน นี่ไง เพราะถ้าเราไปเชื่อกันเองไง เราถึงบอกว่า

“เวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยความซื่อก็ไปกับเขา พอไปกับเขาขึ้นมา เวลามาอยู่กับเรา เราให้เอาจริงเอาจังขึ้นมา เอาจริงเอาจังเนี่ย เราให้เอาจริงเอาจังโดยที่เรา อะลุ่มอล่วย คำว่า “เอาจริงเอาจังของเรานะ” คือ ให้ท่านปฏิบัติให้เต็มที่ของท่าน ไม่ต้องไปทำงาน ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย”

งานอาบเหงื่อต่างน้ำใครก็ทำแทนกันได้ งานสร้างสติสร้างปัญญาในใจใครจะสร้างให้ แม้แต่แม่ของเรา เราก็ทำให้ไม่ได้ แม้แต่ใครเราก็ทำให้ไม่ได้ การเอาจริงเอาจังของเรา คือ ต้องเปิดโอกาสให้เขา การให้เขาได้กระทำของเขาโดยตามข้อเท็จจริงของเขา ให้เขาฝึกหัดในการทอดไข่ของเขาให้ได้ ถ้าเขาทอดไข่ของเขาขึ้นมาได้ มันก็จะเป็นประโยชน์เห็นไหม เขาทำกินได้

เหมือนเราไปช่วยคนเห็นไหม เราจะเอาอาหารไปให้เขา กับฝึกให้เขาทำมาหากินมันต่างกันอย่างไร?

นี่ก็เหมือนกัน การจะเอาจริงเอาจังมันต้องเอาจริงเอาจังขึ้นมา ถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมามันก็ได้ความจริงขึ้นมา ถ้ามันได้ความจริงขึ้นมาเห็นไหม นี่ความจริง ถ้ามันเกิดเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา มันจะย้อนเข้าไปสู่ใจของตัว ถ้าย้อนเข้าไปสู่ใจของตัว นี่อริยสัจ ๔

“ที่ว่าสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔”

ไอ้สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ ที่คุยโกหกทั้งนั้น! มันเป็นสติปัฏฐาน ๔ ของผี! ของความรู้สึกนึกคิดมันไม่เป็นสติปัฏฐาน ๔ ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าตามความเป็นจริง ถ้ามันเป็นไปตามความเป็นจริงนะ เวลาจิตมันเห็นนะ มันทำให้หัวใจหวั่นไหวแค่ไหน หัวใจมันจะสั่นสะเทือนเลยเพราะอะไร?

เพราะมันจะชำระกิเลสของมัน สติปัฏฐาน ๔ ที่โม้ๆ กันอยู่ ผีทั้งนั้น มันไม่เป็นความจริง!

ถ้ามันเป็นความจริง คนที่ทำความเป็นจริงนั้น จะทำทุจริตสิ่งใดไม่ได้ ไม่ทำทุจริตเพราะสิ่งใด ไม่ทำทุจริตเพราะเหมือนเราเป็นคนไข้เห็นไหม ดูสิ แม่ตายเพราะอะไร?

เพราะติดเชื้อไง เรากลัวติดเชื้อกันมากนะ พอจิตเราดีขึ้นมาเนี่ยเราจะรักษา เราจะดูแล เราจะดูแลจิตของเรา ที่มันไม่ทำทุจริตเพราะอะไร?

เพราะสิ่งที่ทำไปแล้วมันทำให้สมาธิเรา ทำให้ความเพียรของเรา ทำให้ความมุ่งมั่นของเรามันหวั่นไหว ทำให้ความมุ่งมั่นของเรา สัจจะของเรา มันจะไม่ได้ประโยชน์ตามความเป็นจริง เราจะเอาไหม เวลานักปฏิบัติเราเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านสอนประจำ ไอ้พวกติดปากติดท้องนี่ธุดงค์ไม่เป็นหรอก ไปไหนก็ต้องเอาเสบียงมันไปด้วย แต่ถ้าไอ้พระป่าเนี่ยนะ มันอยู่ที่ไหนมีกินไม่กิน มันสมบุกสมบันของมันมานะ ไอ้พวกนี้ธุดงค์ได้

ไอ้พวกติดปากติดท้องแล้วบอกเป็นพระธุดงค์ มันทุเรศ!

ความจริง โธ่! ไอ้แค่ของกินนะ ไอ้ของปัจจัยเครื่องอาศัยมันของไร้ค่า เพราะหัวใจมีค่ากว่า สติปัญญามีค่ากว่า ฉะนั้นถ้าสติปัญญามันมีค่ากว่า ไอ้สิ่งนั้นมันไร้ค่า ใช้คำว่า “ไร้ค่า” วัดไหนปรนเปรอเลี้ยงกันแบบหมู ไม่มีกรรมฐานหรอก ไอ้นั่นมันคอกหมู มันฟาร์มหมู

แต่ถ้าวัดไหนอัตคัดขาดแคลน แต่หัวใจของเขาสว่างโพลง เขามีความจริงจังของเขาเห็นไหม อันนี้ถึงเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงเห็นไหม ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติมาด้วยความจริง ฉะนั้นสิ่งที่ว่าเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเราไม่ต้องทำ ไม่ต้องทำ งานของเราในทางสมาธิ ในทางนั่งสมาธิ เดินจงกรม นี่งานของนักรบ ไอ้งานอย่างนั้นมันงานของบริษัท ๔ เขา เห็นไหมผู้ที่เป็นคฤหัสถ์เขาหวังบุญกุศลของเขา เขาทำของเขา

เราอยู่กับหลวงตานะ หลวงตาท่านป้องกันลูกศิษย์เต็มที่ แล้วท่านพูดกับพระเอง “อะไรๆผมก็ทำให้ได้หมด เว้นไว้อย่างเดียวศรัทธาของชาวบ้าน เพราะมันเป็นสิทธิของเขา เราไม่สามารถห้ามเขาได้ ฉะนั้นให้พระมีสติแล้วหลบหลีกกันเอาเอง”

แต่ถ้าอย่างอื่นเข้ามานะ ในการที่เข้ามาคลุกคลีต่างๆ ท่านไล่ออกหมด ยิ่งพระคุยกับโยมนะ..เสร็จทันที เวลาพระไปอยู่กับท่านนะ ห้ามลื่นนะ ห้ามลื่น แล้วห้ามสนิทคุ้นเคยกับใครทั้งสิ้น การสนิทคุ้นเคยกับเขานั่น มันเป็นโทษทั้งนั้น งานของเราต้องรักษาใจของเรา ถ้ารักษาใจของเราเห็นไหม นี่ความจริงมันอยู่ที่นี่ ถ้าความเป็นจริงอยู่ที่นี่เห็นไหม พอจิตมันสงบขึ้นมาแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง

แล้วเราฟังเทศน์มาเยอะ ไอ้เห็นจริงกูไม่เคยได้ยิน! กูได้ยินแต่ตอแหล! กูได้ยินแต่ของโกหก! แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ เวลามันพิจารณาของมัน มันพิจารณาโดยความเป็นจริงขึ้นมา คนไม่รู้พูดไม่ได้ คนไม่รู้ไม่เห็นพูดไม่ได้หรอก แต่พูดธรรมะดีนะ สุดๆ เลย ธรรมะพระพุทธเจ้า

“แหม..ธรรมะองค์นั้นก็เทศน์ดี องค์นี้ก็เทศน์ดี”

ทำไมจะเทศน์ไม่ดี ธรรมะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหม นี่เรื่องโลก โลกหมายถึงว่า เราศึกษาธรรมสุตมยปัญญา การศึกษามันเป็นสุตมยปัญญา การศึกษานะ ถ้าการศึกษาเราศึกษาอะไร?

“ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าเชียวนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนะ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ พระพุทธเจ้าพ้นกิเลสไปแล้ว แล้วเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยสุดยอดเลย แล้วผิดตรงไหน?”

มันเป็นสุตมยปัญญา! มันเป็นการศึกษาแนวทาง ถ้ามันศึกษาไปแล้ว แล้วมันปฏิบัติเป็นอย่างไร?

ดูสิ ทอดไข่ได้หรือเปล่า จะตอกไข่ตกดินนะ ไข่ไหม้ๆ ก็เอามากินกันสิ

“ไม่ได้หรอก”

ฉะนั้นเวลาทำจริงขึ้นมา ปริยัติมันต้องมีปฏิบัติ ในการปฏิบัติถ้ามันเป็นความจริงนะ พูดไม่ผิดหรอก พูดคำไหนคำนั้น อริยสัจมีหนึ่งเดียว หลวงตาพูดไม่มีผิดเลย แต่คนอื่นฟังผิด มันฟังไม่ผิดก็มีนะแต่หัวใจมันต่ำ มันเอาไปบิดเบือน

เพราะเรารู้ไม่ได้ใช่ไหม เราจะปีนบันไดฟังก็ปีนไม่ถึงเว้ย เพราะธรรมะมันสูงเกินไป“กูดึงธรรมะลงมาเลยนะ ดึงธรรมะหลวงตาลงมาเลยนะ มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น”

คนเป็นเขามีนะ เขาขำ เขาหัวเราะเยาะด้วย แต่คนจริงเขามีนะ สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์เหมือนกัน เห็นไหม สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ถ้าจิตมันสงบแล้วมันกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมโดยตามความเป็นจริง อันนี้เห็นไหม มันไม่ใช่ซื่อนะ ความสัตย์ ความสัตย์ หมายถึงว่า เราตั้งสัจจะว่าจะนั่งสมาธิกี่โมง เราตั้งสัจจะว่า เราจะอดอาหารเท่าไหร่ เราจะภาวนาเท่าไหร่ นี่คือสัจจะ แล้วถ้าข้อสัจจะ ใครมีสัจจะ หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลาจิตท่านท้อถอยนะ ท่านบอกว่า “เดชะ เดชะ มันไม่ทิ้ง มันสู้ตลอด มันเดชะ”

ถ้าใครมีสัจจะเห็นไหม สัจจะตัวนี้มันจะทำให้เราเข้มแข็ง พอสัจจะทำให้เข้มแข็งแล้ว มันจะล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน มันก็มีความพยายามของมัน ถ้ามีความพยายาม มันแก้ไขของมันไปเรื่อยเห็นไหม มันแก้ไขมันพลิกแพลงของมันไปเรื่อย ทำสมาธิได้ สมาธิเป็นอนิจจัง มันเจริญแล้วก็เสื่อม ยิ่งมีปัญญาขึ้นมาเนี่ย ปัญญา..เราใช้ปัญญาเป็นหรือไม่เป็น ถ้าใช้ปัญญาเป็นมันเป็นโลกุตตรปัญญา แล้วถ้าโลกุตตรปัญญา..ภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร? ปัญญาเป็นอย่างไร?

“โอ๋นี่..ปัญญานี่ยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์นะ โอ้จำได้หมดเลย พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น ว่าอย่างนั้น ว่าอย่างนั้น”

เขาเอาไว้สอนเด็ก เขาเอาไว้สอนคนที่ยังเสียดายวัฏฏะ เขาเอาไว้สอนคนที่มันเป็นศีลธรรม-จริยธรรมให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ให้สังคมมีการเสียสละต่อกัน

ธรรมะเป็นศีลธรรม-จริยธรรม ไม่ใช่ธรรม! ประเพณีวัฒนธรรมไม่ใช่ธรรม!

ประเพณีวัฒนธรรมนี่เอาไว้เพื่อให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข เพื่อให้เราเกื้อกูลต่อกัน การเกื้อกูลต่อกันนี้เป็นธรรมของโลก ไม่ใช่ธรรมความจริง ถ้าธรรมความเป็นจริงนะ นี่ธรรมต่อโลกเห็นไหม เพราะโลกกับธรรมไม่เหมือนกัน โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ใช่อันเดียวกัน คนเกิดมาเห็นไหม เกิดมามีหัวใจก็ไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกันเพราะอะไร?

เพราะพันธุกรรมทางจิต จิตมันตัดแต่งพันธุกรรมของมันแตกต่างกันมา ถ้าจิตของมันแต่งพันธุกรรมมาดีอย่างไร มันก็ดีของมันคงที่แล้วดีๆๆ ขึ้นไป แต่พันธุกรรมทางชั่ว มันจะชั่วๆๆๆๆๆ ต่อไป นี้มันอยู่ที่พันธุกรรมของมันเห็นไหม มันถึงไม่เหมือนกัน พอไม่เหมือนกันเวลาปฏิบัติแล้ว ปฏิบัติเป็นพิธีนะ เขาจะจัดเป็นคอร์สนะ ๗ วันแล้วเอากระดาษไปคนละใบ ที่บ้านเรานะกระดาษรอบบ้านเลย ไปปฏิบัติมาเยอะ ได้ใบประกาศมามาก แขวนรอบบ้านเลย เอากระดาษมา ไปปฏิบัติที่วัดได้กระดาษมาคนละใบ

แต่เราปฏิบัติที่บ้าน เราทำความสงบของใจ เราจะได้ข้อเท็จจริง จิตถ้ามันสงบมันจะสงบของมัน ถ้ามันออกรู้ของมันเห็นไหม เราจะอธิบายให้เห็นว่า

“ความซื่อของโลกมันเป็นประโยชน์นะ ถ้าคนเราซื่อสัตย์สุจริตมันดีทั้งนั้นแหละ แต่ปัญญา ปัญญาที่เราจะประพฤติปฏิบัติ โลกกับธรรมไง พอมันอยู่ในธรรม..ความซื่อนะ กิเลสมันกระทืบตายนะ เพราะถ้าเป็นความซื่อใช่ไหม ไหว้พระสวดมนต์ก็สวดแล้ว ปฏิบัติก็ปฏิบัติแล้ว ภาวนาก็ภาวนาแล้ว ใช้ปัญญาก็ใช้ปัญญาแล้ว ไม่เป็นพระอรหันต์ซักที ทำทุกอย่างครบหมดเลย แล้วไม่เป็นพระอรหันต์สักที เพราะอะไร?”

เพราะความเถรตรง ความซื่อ การกระทำ ไม่มีสติปัญญา การมีสติปัญญานะ เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมอย่างไร?

คนจะทำงานนะ เราทำงานเราเคยเหนื่อยล้าไหม? ทุกคนเหนื่อยล้าทุกคน จิตเวลาออกทำงาน จิตมันได้ทำงาน แล้วจิตมันเหนื่อยล้าไหม? มันเหนื่อยล้าทั้งนั้น การกระทำสมาธิทำอย่างไร?

คนทำมาแล้วนะเขาคล่องแคล่วเขารู้หมดล่ะ ยิ่งปัญญามันเดินอย่างไรนะ โอ้โฮชัดเจนมาก เพราะเวลาปัญญามันเดินมันเข้าสู่อริยมรรค เข้าสู่สัจจะความจริง แล้วมรรคญาณมันรวมตัว เวลาธรรมจักรมันหมุน..มันหมุนอย่างไร? เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าจักรนะมันหมุนติ้วๆ ติ้วอย่างไร?

“อ๋อ ติ้วๆ ก็พัดลมไง หมุนเป็นพัดลมเลย”

เราเทียบไปหมดล่ะ คนไม่เป็นก็คือไม่เป็น ถ้าคนไม่เป็นพูดอะไรก็ไม่เป็น พูดอะไรแล้วมันเทียบผิดหมด แต่คนเป็นนะ พูดขี้มันก็เป็นทอง คนมันไม่เป็นนะบอกทองก็เป็นขี้ เพราะมันใช้แตกต่างกัน มันใช้ไม่ถูกต้อง ใช้ไม่ถูกต้องตามจังหวะและโอกาสของมัน มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด เวลาเรามรรคหยาบๆ อย่างเช่น เช่นเราเป็นปุถุชนเห็นไหม การดำรงชีวิตเรา

“โอ้ย เรามีมรรคครบนะ สัมมาสมาธิ สัมมาอาชีวะ งานชอบ เพียรชอบ ทุกอย่างชอบหมดเลย”

ชอบนี้ชอบเลี้ยงปาก ชอบเลี้ยงปากไม่ใช่ชอบเลี้ยงใจ มรรคไม่ได้เป็นอย่างนี้ อย่างนี้เขาเรียกว่าฆราวาสธรรม มันไม่เป็นอริยสัจเลย ถ้าเป็นอริยสัจนะ จิตมันต้องสงบ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ เราก็เถียงกันไป “ทุกอย่างดีหมดแล้ว” มีคนมาหาเราเยอะมาก “โอ้ เป็นคนดีสุดยอดเลย” บอกนั้นเป็นสมบัติสาธารณะ

อย่างเช่น แม่ตายไปแล้ว หาเงินหาทองไว้เท่าไหร่ แบ่งไว้ให้ลูกหลาน แต่จะติดเอาไปก็คือคุณงามความดี คุณงามความดีของแม่เท่านั้นที่แม่จะเอาไป แล้วคุณงามความดีของแม่มีมาก เพราะแม่เลี้ยงลูกมา ๑๓ คน ลูกแต่ละคนสร้างประโยชน์กับสังคมมากน้อยแล้วแต่ความสามารถของแต่ละบุคคล ฉะนั้นสิ่งที่ทำทำไว้แล้ว มันเป็นสมบัติสาธารณะ เราบอกเลยว่า

“ของโยมไม่มีเลย ตายไป..แม้แต่เขาจะเอาเหรียญใส่ เขายังไม่ให้ใส่เลย ตายไปไม่ได้เอาไปหรอก”

ขณะที่คุณสมบัติ..จิตออกจากร่างเรานั่นน่ะ จบแล้ว ขณะที่จิตออกจากร่าง จิตเสวยภพแล้ว จิตนี้ไม่มีเว้นวรรค จิตนี้ไปแล้ว สิ่งที่ทำกันอยู่นี้ ศาสนานี้ วัฒนธรรมประเพณีนี้ เขาทำไว้เพื่อ! เพื่อประโยชน์กับสังคม คนเป็นเท่านั้นได้ฟังเทศน์อย่างนี้ คนตายได้ฟังไหม?

คนตายเห็นไหม ขนาดคนตายเราก็พยายามกันเต็มที่แล้ว แต่ด้วยความซื่อด้วยความทิฏฐิ ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เขาก็ใช้ชีวิตของเขา พฤติกรรมที่ใช้มาเห็นไหม จนเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเราทำอย่างไรล่ะ เราก็พยายามของเราอยู่ แต่ใครพยายามอย่างไรก็แล้วแต่ เพราะเรารู้อยู่ว่า

“การประพฤติปฏิบัตินี้มันแสนยาก แสนยากขนาดไหน ถ้าเรามีโอกาสเราก็ต้องทำตามหน้าที่เพราะแม่ของเรา แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ลูกทุกคนเห็นไหม พ่อแม่ของเรานี้เป็นพระอรหันต์เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตเรามา แล้วให้ชีวิตเรามา สิ่งนี้มันมีคุณค่า พ่อแม่จะผิดจะถูกนั้นไม่เกี่ยว แต่ท่านก็คือพ่อแม่เรา เราตัดขาดกันไม่ได้หรอก มันตัดขาดกันไม่ได้ เพราะว่ามันมีเวรมีกรรมกันต่อมา”

แต่เวลาท่านสิ้นไปแล้ว ขาดแล้ว จบ พอจบแล้วเห็นไหม สิ่งที่จบแล้วจะทำอย่างไรต่อไป?

การกระทำ เราทำบุญกุศลกันก็เพื่อบุญกุศลเห็นไหม เวลาท่านอยู่เราก็ดูแลแล้ว เวลาทำกุศลอุทิศส่วนกุศลไปให้ การอุทิศได้ไหม?

ได้! ถ้าเขาพร้อมที่จะรับ แต่ถ้าผู้สูงส่งกว่าล่ะ เขาไม่รับหรอก เขามีดีกว่านี้อีก มีดีเพราะอะไร?

มีดีเพราะท่านทำดีของท่านไว้ ท่านซื่อสัตย์สุจริต ท่านทำคุณงามความดีในชีวิตของท่านมาทั้งชีวิต ฉะนั้นนี่เป็นเรื่องของโลก เราเสียดายแต่เรื่องธรรมเท่านั้น ถ้าเรื่องของธรรมนะ ดูสิ จิตนี้เวียนตายเวียนเกิดไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่ถ้าจิตนี้มันได้ชำระของมันเห็นไหม อย่างน้อยวัฏฏะมันจะคงที่ คงที่เพราะ ๗ ชาติเท่านั้น แล้วมันจะเหลือ ๓ ชาติ แล้วมันจะไม่เหลือเลยเพราะอยู่ปกติของมันคือพรหม แล้วมันจะสิ้นสุดของมันเลย อันนี้มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน ถ้าวาสนามันต้องมีคุณธรรมของมัน เห็นไหม เวลาจิตสงบเข้ามาสงบอย่างไร? ในการประพฤติปฏิบัติกันอยู่ปัจจุบันนี้จิตสงบอย่างไร?

“จิตทำไมต้องสงบ จิตอย่างนี้มันก็พิจารณาได้”

ก็ผีมันพิจารณาไง! มันที่ความคิด จิตมันไม่สงบ พิจารณาแล้วเขาเรียกว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ” มันมีปัญญาอบรมสมาธิ กับ สมาธิอบรมปัญญา ในการประพฤติปฏิบัติ ปัญญาอบรมสมาธินี้มาในทางพระสารีบุตร เพราะพระสารีบุตรนี้เป็นปัญญาวิมุตติ พระโมคคัลลานะนี้เป็นเจโตวิมุตติ ถ้าเป็นเจโตวิมุตติเห็นไหม ต้องทำสมาธิขึ้นมา พอสมาธิขึ้นมาแล้วมันพิจารณาของมันไป ถ้าพิจารณาไปมันจะมีขั้นมีตอนของมัน ถ้ามันมีขั้นมีตอนมีทางลัดนี่เราจะขัดแย้งกับพระโมคคัลลานะเลย พระโมคคัลลานะ..ท่านพระโมคคัลลานะจนมาปัจจุบันนี้..จนพระศรีอริยเมตไตรย..จนอนาคตวงศ์ขนาดไหน มันก็เป็นอริยสัจอันนี้! อริยสัจมีหนึ่งเดียว! มีหนึ่งเดียว! มีหนึ่งเดียว!

ฉะนั้นถ้าจิตไม่สงบนะ มันเป็นแค่ปัญญาอบรมสมาธิ หมายถึงว่า เวลาผีมันคิด ผีมันทำเห็นไหม พอปัญญามันทำ ผีมันอาย พอผีมันอาย ความคิดมันอาย มันก็หายไป พอหายไปเพราะมันมีสติปัญญาคิดมันเป็น “สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔” มันก็เลยกลายเป็นผีหายไป ก็เลยผีหลงป่าช้าอีก แต่ถ้ามีสตินะ พอผีมันหายไปใช่ไหม พอผีหายก็เหลือจิตใช่ไหม นี่ไง ปัญญาอบรมสมาธิ พอผีมันหายไป ไอ้ผีมันหายไปแล้วคนโดนผีหลอกมันอยู่ไหน? ไอ้คนโดนผีหลอกมันก็ยืนซื่อบี้ออยู่นี่ เพราะอะไร?

เพราะมันเป็นมิจฉา แต่ถ้ามันมีปัญญาอบรมสมาธิ มันมีสติปัญญาของมันเห็นไหม แล้วผีมันหายไป เอ้อ! กูโดนผีหลอก กูโดนผีหลอกเพราะผีมันหายไป กูชนะผี พอกูชนะผีใช่ไหม จิตมันก็เป็นสัมมาสมาธิ พอสัมมาสมาธิเนี่ยพอสัมมาสมาธิบ่อยครั้งเข้า เวลามันออกใช้ปัญญาขึ้นมา คนนะถ้าเขาภาวนาเป็น ตรงนี้เขาชี้ได้ชัดเจนมากเลยว่าโลกียปัญญา กับ โลกุตตรปัญญา

“ถ้าโลกียปัญญาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นร้อยแปด เห็นทั้งปีทั้งชาติ เห็นจนไม่อยากจะเห็น”

เห็นโกหก! ถ้าเห็นจริงนะ..พอจิตสงบมันเห็นจริง มันสะเทือนหัวใจ ถ้ามันสะเทือนหัวใจเห็นไหม นั่น! สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ฉะนั้นสติปัฏฐาน ๔ ที่ทำกันอยู่นี้ สติปัฏฐาน ๔ หลอกๆ

สติปัฏฐาน ๔ จริงๆ มันเกิดบนหัวใจ มันเกิดโดยการกระทำ มันเกิดจากสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริงนะ พอพิจารณาเข้าไปเห็นไหม ดูสิ มันพิจารณาอะไร เมื่อจิตมันสงบมันเห็นกาย เห็นจิต เห็นธรรม เห็นจิตกับเห็นธรรมมันเห็นความคิด ธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกเป็นความคิด อารมณ์ดีอารมณ์ชั่วคือธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์เพราะอะไร?

ธรรมารมณ์เพราะจิตมันสงบแล้วจิตมันจับต้องได้ แต่ถ้าไม่มีสติ จิตมันจับต้องไม่ได้ มันเป็นมารหมดไง มันกระทืบตายห่าเลย มันกระทืบหัวใจเพราะไม่มีสติจับต้องมัน แต่ถ้ามันมีสติ มันมีสมาธิใช่ไหม พอมันจับต้องได้ พอมันจับต้องได้เป็นธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์เพราะอะไร?

เพราะมันเป็นสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ธรรมารมณ์มันเป็นธรรมแล้ว มันเป็นสัจจะแล้ว มันเป็นอารมณ์สัจจะที่มันจะเข้าสู่ความจริงแล้ว แต่ถ้าจิตใจมันยังไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริงอยู่ มันอะไรล่ะ? มันอะไร?

มันก็สติปัฏฐานผีๆ ไง! แต่ถ้ามันสติปัฏฐานจริงๆ ขึ้นมา มันจับแล้วมันสะเทือนเข้ามา พอสะเทือนใครเป็นคนใช้ปัญญา? นี่ใครเป็นคนใช้ปัญญา?

นี่ไง โลกเขาใช้ปัญญาสมองนะ เวลาภาวนาเขาใช้ปัญญาทางจิต สมองใช้ไม่ได้! เพราะจิตคือพลังงานพอพลังงานมันอยู่สมอง มันเป็นอดีตไปแล้วเพราะว่าอะไร?

เพราะพลังงานที่มันเคลื่อนจากจิตมาสู่สมอง พอมาสู่สมอง เวลาเราคิดกันเราคิดด้วยสมอง คิดเรื่องต่างๆ คิดด้วยกลัวผิด กลัวพลาดไง เอาอริยสัจมาตั้งไว้เลยนะ แล้วขีดเส้นบรรทัด กูจะเดินตามนี้นะ พอจบแล้วกูจะเป็นอะไร? ก็เป็นหนอนไง!

แต่ถ้าพอมันเป็นปัญญาของจิต พอจิตมันสงบเข้ามา มันเห็นขึ้นมา พอเห็นขึ้นมา ปัญญามันเกิดจากจิต โลกนี้ไม่มี ในโลกนี้ไม่มีสติ สมาธิ ปัญญา ขายให้ใคร ไม่มีร้านค้าไหนขายศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มี! แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาจากใจเห็นไหม ..ดูมรรคญาณมันเกิดขึ้นมา ถ้าจิตมันเกิดขึ้นมา มรรคญาณมันเกิดขึ้นมาเห็นไหม มันพิจารณาอย่างไร? มันปล่อยกายอย่างไร?

“มันปล่อยกายนี้ ปล่อยกายเป็นตทังคปหานนะ”

แล้วมันปล่อยอย่างไร? แล้วกิเลสมันหดเข้ามาอย่างไร? แล้วจิตมันดีขึ้นอย่างไร?

นี่ไง ทอดไข่! ทอดไข่! ทอดไข่อย่างไรให้มันพอสมควรที่เป็นประโยชน์ ทอด อย่าทอดให้มันไหม้ อย่าทอดให้ไข่ไหม้ อย่าทอดให้ไข่เสีย มันมีการกระทำไง ถ้าปฏิบัติโลกุตตรปัญญามีการกระทำนะ แล้วงานนี้งานของพระนะ เราบอกเลยนะ “ไปบวชพระนี่หนีสังคม ไม่สู้ ใจไม่ถึง”

บวชพระนั่งเฉยๆ นี่นะ แต่เวลางานมันเกิดนะ การทำงานของโยมน่ะ ใช้พลังงานไม่เท่ากันเลย พลังงานของการกระทำมันรุนแรงกว่าพวกโยมทำอยู่นี้หลายเท่านัก แล้วถ้ามันหลายเท่านัก ทำไมเวลาภาวนาแล้วทำไมเราเหนื่อยล้าล่ะ?

พอมันเหนื่อยล้า พอสมาธิมันเสื่อมมาเห็นไหม เราต้องสร้างสมาธิขึ้นมาอีก แล้วสร้างสมาธิขึ้นมาแล้วก็ใช้ปัญญาของเราบ่อยครั้งเข้า เวลามันปล่อย มันปล่อยเห็นไหม มันปล่อยทีหนึ่งนะ เวลาคนเริ่มภาวนาอย่างนี้ ทุกคน..รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง เวลาใดถ้าจิตมันเริ่มปล่อย สิ่งที่เราไม่เคยรู้เคยเห็นมันมหัศจรรย์มาก มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์จนเหนือโลกเหนือสงสาร เหนือทุกๆ อย่างเลย เหนือทุกอย่างเห็นไหม เวลาพิจารณาขนาดนี้แล้วมันปล่อยเป็นตทังคปหาน คือ ปล่อยชั่วคราว เวลาเดินออกมาเหมือนตัวลอยเลยนะ มันเบาขนาดนั้นน่ะ

ดูสิ เราหาความสุขกัน เราไปเที่ยวไปทุกอย่างปรนเปรอเพื่อให้มีความสุขๆ มันมีความสุขขนาดไหน?

ความสุขขนาดไหน กับเวลามันพิจารณาของมันแล้วมันปล่อย แล้วมันออกมา มันลอย มันเบาไปหมด นี่! นี่! อย่างนี้มหัศจรรย์ไหม มันมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์แค่นี้นะ ถ้าคนไม่เป็นมันก็เผลอ พอเผลอเดี๋ยวก็เสื่อม มหัศจรรย์ขนาดไหนก็เสื่อม เสื่อมทั้งนั้น! ถ้ามันเป็นตทังคปหาน

ถ้าคนภาวนาเป็นนะ สิ่งต่างๆ โลก กับ ธรรม ธรรมมันลึกลับซับซ้อนมหาศาล แล้วมันค่อยพัฒนาของมันขึ้นไป มันพิจารณาซ้ำ พิจารณาซาก ปล่อยขนาดไหนนะ.. ถ้าโดยธรรมชาติของคน เพราะเราลงทุนลงแรงมาขนาดนี้ พอปล่อยขึ้นมาก็ให้ค่าเลยโสดาบัน พอปล่อยอีกทีให้สกิทา พอปล่อยอีกทีให้อนาคา พอปล่อยอีกทีว่ามันสิ้นกิเลสแล้วนะ แล้วมันก็กลายเป็นหนอนอีกอย่างเก่าเพราะมันเสื่อมหมด

พอมันเสื่อมขึ้นมาก็ร้องไห้ เพราะคนที่ปฏิบัติแล้วเบาขนาดนี้ มันเป็นความมหัศจรรย์แล้วมันฝังใจมาก เหมือนเราเคยมีเงินแล้วเราใช้เงินนี้หมดไปแล้ว เราต้องกลับไปหาเงินใหม่ โอ้โฮ..เราล้มลุกคลุกคลายเลย แต่ถ้าเรามีเงินแล้วนะ รู้จักกระเหม็ดกระแหม่ รู้จักประหยัด รู้จักใช้สอยนะ รักษาเงินไว้ จะดีจะชั่วเงินอยู่กับเรา จะดีจะชั่วจิตให้มั่นคงไว้ จิตให้มั่นคงไว้ แล้วพิจารณาไปเรื่อยๆ พิจารณาไปเรื่อยๆ

ถ้ามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์คอยประคองไป เว้นไว้แต่ไม่มีครูบาอาจารย์ หรือถ้าครูบาอาจารย์งี่เง่า ถ้าครูบาอาจารย์งี่เง่านะ ครูบาอาจารย์มันไม่เป็น มัน..เพราะถ้าครูบาอาจารย์งี่เง่า มันอยู่ที่เวรกรรมของสัตว์นะ ถ้าครูบาอาจารย์งี่เง่าหนึ่ง เพราะถ้าสิ่งนี้ตอบไม่ได้ แล้วสิ่งนี้ตอบไม่ได้ ถ้าเกิดเขาภาวนาไปแล้วมีปัญหามากกว่านี้ ครูบาอาจารย์จะหน้าแตก เขาจะพาออกนอกลู่นอกทางไง ถ้านอกลู่นอกทางก็เสียไป

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ดีนะจะกันไว้เลย เราอยู่ที่บ้านตาดนะ คนไหนภาวนาเป็นนะ ท่านจะกันเลย ไม่ให้ใครเข้าไปคุยด้วย ไม่ให้ใครเข้าไปหา ให้พระองค์นั้นเร่งเต็มที่ ท่านกันไว้เลยนะ เพราะอะไร?

เพราะว่าสิ่งนี้มันหาได้ยาก แต่ถ้าครูบาอาจารย์งี่เง่านะ พาออกไปทำงาน พาออกไปทัศนาจร ทัศนศึกษา พาไปโลกๆ เวรกรรม! นี้มันเป็นเวรกรรมของสัตว์นะ แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดีนะ ซ้ำ! ซ้ำเข้าไป ซ้ำเข้าไป มันจะมหัศจรรย์ขนาดไหน นี่ไง รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง

มหัศจรรย์ขนาดไหน ทำต่อเนื่อง ทำต่อเนื่อง..ถ้าถึงที่สุดนะ เวลาขันธ์มันขาด พิจารณากาย-กายนี้ขาด พิจารณาเวทนา-เวทนานี้ขาด พิจารณาเวทนามันขาดบ่อยๆ พิจารณากายมันก็ขาดบ่อยๆ มันปล่อยมาบ่อยๆ บ่อยมาตลอดน่ะ ไอ้การปล่อยมันปล่อยไปตลอดต่อเนื่อง เพราะการพิจารณามันจะปล่อยมาเรื่อยๆ แต่มันไม่ขาด

“ถ้ามันขาดมันเป็นสมุจเฉทปหาน มันเกิดได้หนึ่งเดียว จะภาวนามากี่ร้อยแสนครั้งก็แล้วแต่ ถ้ามันสมุจเฉทมีครั้งเดียว!”

หนึ่งครั้งมีแล้ว ไม่มีการพลิกแพลง ไม่มีการหวั่นไหว ไม่มีการ..ไม่มีใดๆ ทั้งสิ้น มันเป็นอกุปปธรรม

“โลกนี้เขาเถียงกัน สัพเพ ธัมมา อนัตตา สัพเพ ธัมมา อนัตตา”

อ้าว มันก็อนัตตานั่นแหละ มันก็ต้องอนัตตา อันนี้มันเป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา กุปธรรม อกุปปธรรม กุปธรรมเนี่ยสัพเพ ธัมมา อนัตตา นี่กุปธรรม กุปธรรมคือธรรม สภาวธรรมไง อกุปปธรรมมันธรรมเหนือโลก มันธรรมที่มันหลุดออกไป ถ้ามันหลุดมันขาดออกไปแล้ว มันจะเป็นอนัตตาได้อย่างไร? มันเป็นธรรมแท้ๆ

นี่ไง สิ่งที่เป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมไม่ใช่ธรรม ประเพณีวัฒนธรรมอันนี้อนัตตาไง ประเพณีนี้ก็ทำ ปีหน้าก็ทำ ปีต่อไปก็ทำ อีก ๑๐ ปีก็ทำ

แต่ถ้ามันเป็นธรรม มันทำอีกไม่ได้แล้ว มันทำอีกไม่ได้! เพราะมันไม่มีเชื้อไข! เพราะเชื้อไขได้ทำมาแล้ว จะไปทำอะไรมันอีก แล้วมันทำไม่ได้ มันทำมันได้อย่างไร! มันทำไปได้อย่างไร!

“นี่ไง นี่บอกว่าซื่อๆ ทำได้ไหม? ซื่อๆ ซื่อบื้อๆ ทำได้หรือเปล่า?”

มันต้องมีสติปัญญานะ มันมีสติปัญญาขึ้นมา ทำของเราขึ้นมา แล้วมันมีสติปัญญาเข้าไป มันจะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ นะ ถ้าละเอียดเข้าไปเห็นไหม มันจะจับได้อีก พอเราจับได้กาย เวทนา จิต ธรรม จับได้เป็นขั้นตอน นี่ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด ขันธ์อย่างหยาบๆ เวลาพิจารณาขาดแล้วเป็นโสดาบัน ขันธ์อย่างกลางเห็นไหม พิจารณาเข้าไปแล้วราบหมดเลย โลกนี้ราบหมดเลย โลกนี้กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใสเลยนี่เป็นสกิทาแล้วโดยตำรานะ เขาบอกว่า

“พระโสดาบันขันธ์ ๕ มันขาดแล้วไม่มีขันธ์ ๕”

กามราคะเกิดจากขันธ์ กามราคะเกิดจากสัญญา สเป็กของใคร สเป็กของใครมันของคนนั้นไง กามราคะเกิดจากสัญญา ปฏิฆะ-กามราคะ ไม่มีปฏิฆะ-กามราคะมันจะเกิดมาจากไหน?

ทีนี้มันเป็นขันธ์อย่างละเอียด นี้การว่าขันธ์อย่างละเอียดนี่ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติมันจะเข้าใจยาก แต่ถ้าเป็นเจโตวิมุตติมันจะเป็นกายอย่างหยาบ กายอย่างกลาง พอกายอย่างละเอียดเป็นอสุภะ กายอย่างหยาบๆ เวลาพิจารณาเขาเรียกปฏิกูล ร่างกายนี้เป็นปฏิกูลโสโครก แต่โดยสามัญสำนึกของกรรมฐานเรา เราบอกว่าอสุภะ โน่นก็อสุภะ นี่ก็อสุภะ แต่ความเป็นจริงนี่เขาไปพิจารณาเป็นปฏิกูลโสโครก ร่างกายนี้เป็นสักกายทิฏฐิความเห็นผิด ถ้ามันปล่อยไปแล้ว พอพิจารณาซ้ำร่างกายมันก็ปล่อยอีกเห็นไหม สู่สถานะตามความเป็นจริงเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ กลายเป็นธาตุเดิมของเขา อันนี้พอพิจารณาปล่อยวางเข้าไปแล้วจะเป็นกายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส แล้วถ้าจิตมันดี พอมันจับได้ขึ้นมาเห็นไหม มันจะเกิดเป็นอสุภะ

กายนี้เป็นปฏิกูลโสโครก กับ กายที่เป็นปฏิฆะมันแตกต่างกันอย่างไร! มันแตกต่างกันอย่างไร!

นี่ถ้าไม่พิจารณาแล้วกายก็คือกายไง เวลาพวกทางวิชาการเขาบอกนะ “พระกรรมฐานมีแต่โวหาร กายนอก กายใน กายในกาย” เขาว่านะ

โวหารนะเอ็งรู้หรือเปล่าล่ะ แต่โวหารนี่เขารู้กันนะ ถ้าเขารู้ไม่ได้ เวลาหลวงปู่มั่นท่านสอนนะ ลูกศิษย์ลูกหาหลวงปู่มั่นเห็นไหม หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหม หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่แหวน พระอรหันต์ทั้งนั้นใครบอกพระอรหันต์ได้

นี่แล้วบอกว่า “มันเป็นโวหาร โวหาร”

โวหารเพราะมันไม่รู้ไง เพราะมันเป็นตัวหนอนไง หลวงตาบอก “หนอนแทะกระดาษไง” มันแทะแต่กระดาษ รู้แต่กระดาษอร่อย แต่เวลากิเลสมันไม่รู้ว่าจะแทะที่ไหน มันหากิเลสมันไม่เจอ แต่ถ้ามันจะแทะกิเลสของมันเห็นไหม ทางวิชาการเขาศึกษามาแล้ว ทหารนะ..เวลาออกรบนะ เขาไม่เอาตำราหนีบไปด้วยหรอก เขาศึกษาแล้วนะ เขาฝึกให้เป็นแล้วเขาวางไว้ เวลาเจอข้าศึกเขายิงเลย เขาไม่ต้องเปิดตำรานะ

“เฮ้ย! ขึ้นนกอย่างไรเว้ย เฮ้ย! ยิงอย่างไรวะ”

มันตายไป ๕ รอบมันยังไม่ได้ยิง จิตมันจะเร็วมาก เร็วมาก

ฉะนั้นสิ่งที่ว่าทางวิชาการก็เป็นทางวิชาการปริยัติ ปฏิบัติ ปริยัติมันต้องมีแน่นอน เพราะปริยัตินี่ไง มันทำให้เราช่วยกันศึกษาขึ้นมา แล้วถ้ามีใครปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม มันจะเป็นความจริงของมันขึ้นมา เพราะมันมีความจริงขึ้นมาเห็นไหม ศาสนาถึงมั่นคง ศาสนาที่มั่นคงอยู่นี้ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ของเรา ไม่มีหลวงปู่มั่นขึ้นมา ไม่มีครูบาอาจารย์ของเราขึ้นมา ใครจะมั่นคง

พระยิ่งปฏิบัติยิ่งเหลวไหล พระยิ่งปฏิบัติยิ่งเลวร้าย เวลากิเลสมันยังไม่ได้ขี่เสือนะ มันเป็นอีกเรื่องนะ แต่ถ้ากิเลสมันได้ขี่เสือนะ มันไปไกลเลย ฉะนั้นหลวงตาท่านบอกว่ามีคนไปหาท่านนะบอกว่า “เคารพมาก..พระสายหลวงปู่มั่นนี่เคารพมาก”

หลวงตาท่านพูดเลยนะ “พระสายหลวงปู่มั่น เรามั่นใจว่ามีทั้งดีและเลว มีทั้งดีและชั่ว คนชั่วมันก็มี”

ฉะนั้นท่านพูดคำนี้ แล้วเราก็มาคิดท่านพูดเพื่อให้พวกเราที่มีศรัทธา มีความมั่นคง เวลาที่ไปเจออะไรที่มันกระทบใจแล้ว เราจะได้ไม่หัวปักดินไง แต่ถ้าเราเชื่อมั่นของเราว่า

“พระสายหลวงปู่มั่นดีทุกองค์ ดีทุกองค์นะ”

เวลาเราไปเจออย่างนั้นเข้านะ เราจะเสียใจ จนเราจะเสียไปเลย เราเสียไปเลยหมายถึงว่า เราไม่เชื่อในศาสนาเลย แต่ถ้าเราคิดว่า

“ในสังคมมันก็มีดีมีชั่วทั้งนั้น”

ในการกระทำของเรา เราต้องทำความเป็นจริงของเรา ถ้าทำความเป็นจริงของเราเห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราถ้าเป็นจริงนะ เราจะตรวจสอบอาจารย์ได้ง่ายๆ เลย ถ้าเราทำสมาธิได้ เราทำปัญญาได้ ถามท่านเลย ถามท่าน เราปฏิบัติมานะ เราจะไปอยู่กับใครก็แล้วแต่ เราจะทำความคุ้นเคย เราจะทำความคุ้นเคยกับอาจารย์ทุกๆ องค์ “ไปสรงน้ำท่าน ไปนวดเส้นท่าน” จนคุ้นเคยแล้วจะถามเลยบอกว่า

“ผมปฏิบัติมาเป็นอย่างนี้ครับ เป็นอย่างนี้ครับ”

เพราะ! เพราะในการประพฤติปฏิบัติเวลามันหลงทาง มันไปไกลนะ แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยบอก แล้วถามทุกองค์นะ ถามทุกๆ องค์ อย่างเช่น อย่างเช่นที่เราเกิดมาเห็นไหม เราเกิดมาจากแม่ แต่เวลาเราปฏิบัติมา เราเกิดมาจากหลวงตา กับ หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะนี่เถียงกันเป็นปีๆ เถียงกันทุกคืน เราไปเถียงทุกคืน เณรนี้จะไปยืนเฝ้า

“ครูบาจำได้ไหม ตอนที่ไปเถียงกับหลวงปู่เจี๊ยะ ผมไปเฝ้าทุกคืนเลย”

ถาม “ทำไม”

“กลัวครูบาจะหลุด แล้วอัดหลวงปู่เจี๊ยะ” เขาว่า เพราะเราโดนหลวงปู่เจี๊ยะยำไง

มันคิดได้ขนาดนั้นเห็นไหม! เถียงกันทุกคืน เถียงกันทุกคืน เพราะว่ามันจะตรวจสอบ ตรวจสอบเพราะของอย่างนี้หาไม่ได้ เราระลึกถึงใจเราตลอด ถ้าไม่มีหลวงตา หลวงปู่เจี๊ยะ เราก็คงเป็นบ้าอยู่เหมือนเดิม เรายังบ้าของเราอยู่ บ้าทิฏฐิมานะ บ้ารู้ความเห็นของตัว บ้าสัญญาอารมณ์ไง มันเป็นบ้าเพราะอะไร?

เวลาหลวงตาท่านพูดเห็นไหม ท่านไปอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น เวลาไปคุยกับหลวงปู่มั่น ท่านก็เถียงหลวงปู่มั่นเพราะอะไร?

เพราะก็มีของเรา ของเราคือท่านรู้ท่านเห็นไง เรารู้เราเห็นของเรา เราต้องมั่นใจใช่ไหม แต่เขาบอกว่าความรู้ความเห็นมันเห็นจริงไหม?

จริง แต่ความเห็นนั้นไม่จริง เราถึงได้พูดบ่อยว่า ผีมันรู้เห็นไหม ผีมันรู้ ไม่ใช่จิตมันรู้ ถ้าจิตมันรู้ เวลามันทำความสงบของใจ เพราะจิตเราเกิดนิมิต ถ้าเราไม่เข้าใจได้ ให้ถามจิต จิตมันตอบได้นะ แต่ถ้าเรารู้เราเห็นนิมิตใช่ไหม แล้วเราเชื่อนะ นั่นผีมันรู้ ผีมันรู้มันก็หาข้อมูลให้ โน่นก็ใช่ นี่ก็ใช่ไปเรื่อย

แต่ถ้าเรามาถามจิตปั๊บ ไอ้ผี ข้อมูลของผี มันสู้ข้อมูลของจิตไม่ได้ เพราะจิตมันตอบเลย

“ไอ้ผีนี่วิ่งหนีเลย”

แต่เพราะเราไม่รู้จักใช่ไหม เราก็ไปถามผี เวลาผีมันเห็นก็ถามผีเขาบอกเลย

“พุทโธนี่จะเกิดนิมิต”

นิมิตมันเกิด มันมีนิมิตจริง นิมิตปลอม นิมิตนี่มันไม่ใช่สิ่งที่ชั่วร้าย นิมิตคือเครื่องหมาย เราเข้ามาในวัด เขาไม่เขียนว่าวัดโพธาราม เราจะรู้จักวัดโพธารามไหม ไอ้วัดโพธารามนั่นคือนิมิต เขาเขียนไว้ว่าที่นี่วัดโพธาราม แล้วเราก็อ่านว่าวัดโพธาราม แล้วเราเข้ามาวัดโพธารามแล้ว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับป้ายวัดโพธารามล่ะ เราเข้ามาถึงวัดโพธารามแล้ว มันก็จบใช่ไหม ไอ้ป้ายวัดโพธารามน่ะ เขาบอกว่านั่นคือนิมิต หมายว่าที่นี่คือวัดโพธาราม

จิตเห็นนิมิตมันจะเสียหายอะไร! แต่นี่เพียงแต่จิตมันเห็นนิมิตมันเสียไป เสียไปเพราะคนไปหลง วัดโพธารามนะ แล้วมันก็ไม่เข้า ขับรถวนไปวนมา วัดโพธาราม! วัดโพธาราม! วัดโพธาราม!

มันวนอีก ๕ รอบมันก็ไม่ได้เข้าวัดโพธาราม

“นิมิตเป็นอย่างโน้น นิมิตเป็นอย่างนี้”

ก็มึงเห็นวัดโพธารามแล้วทำไมมึงไม่เข้าไปวัดโพธารามล่ะ มึงเห็นวัดโพธารามแล้วมึงก็ขับวนอำเภอโพธารามอยู่นี่ จะหาวัดโพธาราม? นี่ไง นิมิตผิดอย่างโน้น นิมิตผิดอย่างนี้

นิมิตก็คือนิมิต นิมิตมันมีของมัน เพราะถ้าวัดโพธารามไม่ติดป้ายวัดโพธารามมานี่ เวลาคนต่างถิ่นมาเขาจะรู้วัดโพธารามไหมล่ะ เวลาพุทโธ พุทโธ พุทโธเข้าไป พอจิตไปเห็นนิมิต นิมิตก็คือนิมิตไง นิมิตนี่ผีมันรู้แล้วไง ผีมันรู้แล้วถ้ามีสติขึ้นมา มันก็ปล่อยไง ถ้ามีสติปั๊บทุกอย่างหยุดหมดถ้ามีสติ ถ้ามีสติปั๊บนิมิตจะหายทันที แล้วเกิดนิมิตขึ้นมา เราก็ถามนิมิตคืออะไร

นี่ไง มันแก้ไขได้ทั้งนั้นน่ะ ในการประพฤติปฏิบัติครูบาอาจารย์ที่มีเขาแก้ไขได้ทั้งนั้น ฉะนั้นพระกรรมฐานเราถึงใฝ่หาครูหาอาจารย์ไง เพราะมันไม่มีตำรานะ พระไตรปิฎกพูดไม่ได้ แต่เราไปอ่านพระไตรปิฎกแล้วเราก็ตีความกันแล้วก็มาถียงกันนะ อ่านพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน แล้วก็เถียงกัน เหมือนเราดูหนังแล้วก็มาเถียงกันว่า บทไหนดีกว่าบทไหนไง

นี่ไง พระไตรปิฎกไม่มีชีวิตนะ พูดไม่ได้ แต่ครูบาอาจารย์เรามีชีวิต แล้วพูดได้ด้วย พูดได้ด้วย แล้วพูดนี่มันเป็นการยืนยันเลยว่าจริงหรือไม่จริง หลวงตาบอกว่า

“เวลาเทศน์เหมือนเปิดอกเลย ถ้าคนจริงนะเขาเห็นไส้เห็นพุงหมด พูดคำไหนก็ผิดคำนั้น ถ้าธรรมมันถูกมันจะกลัวอะไร ถ้าธรรมะเป็นความจริงนะ จะยืนอยู่ในที่สว่าง”

ธรรมะเป็นความปลอมนะ มันจะแอบอยู่ใต้ถุน มันจะแอบอยู่ในกุฏิ แล้วก็สร้างมวลชนขึ้นมาปกป้องมัน สร้างมวลชนกันขึ้นมา มวลชนน่ะเป็นสิทธิของเขา จิตนั้น..จิตใครจิตมันนะ มันต้องเคารพจิต สิทธิของเขานะ เขาก็มีชีวิต เขาก็อยากไปนิพพาน แล้วเราไปสร้างมวลชนมาเพื่อปกป้องเรา มันถูกหรือมันผิด?

พยายามสร้างมวลชนกันขึ้นมา สร้างกระแสกันขึ้นมา เพื่อจะปกป้องตัวเอง แล้วทำไมไม่แสดงธรรม เอาธรรมมาเผยแผ่ อย่างเช่น เห็นไหม ดูสิ เวลางานศพส่วนใหญ่แล้วเขาจะมีลูกหลานบวชหน้าไฟ เขาบวชหน้าไฟกัน เรานี่บวชหน้าไฟมา ๓๓ ปีแล้ว เราบวชหน้าไฟให้แม่ ฉะนั้นสิ่งที่แม่ได้ทำไว้ แม่ได้ทอดไข่มาหนึ่งฟองคือฟองนี้ ไข่ฟองนี้มันจะได้เป็นอาหารแก่สังคม ถ้าไข่ฟองนี้มันทำประโยชน์กับมัน มันจะเป็นอาหารของวัฏฏะ เพราะเทวดา อินทร์ พรหม เขาก็อยากมีอาหารเหมือนกัน

ฉะนั้นสิ่งที่ว่าแม่ได้ทอดไข่ฟองนี้ไว้เพื่อกับสังคม ถ้าสังคมเขาได้ประโยชน์อันนี้ มันก็เป็นบุญกุศลกับเจ้าของชีวิต พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่ให้ชีวิตมา ชีวิตนี้เกิดมาแล้วทำประโยชน์ขึ้นได้ ถ้ามันเป็นประโยชน์เห็นไหม บวชหน้าไฟ เขาหาบุญหาคุณให้แม่ หาบุญหากุศลให้ผู้ตาย เราบวชมา เราจะปฏิบัติมาแล้วถ้ามันเป็นประโยชน์กับโลกธาตุ พ่อแม่ต้องได้บุญแน่นอน พ่อแม่ต้องได้ประโยชน์แน่นอน! เอวัง